โดเมนมาร์ค โซเฮล,แอร์มิตาจ
ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักแถมทำไวน์ออกมาน้อยมาก โดเมนมาร์ก โซเฮลทำแอร์มิตาจแบบคลาสสิค ทรงพลัง และมีเอกลักษณ์ของตนเอง มาร์คเริ่มต้นดูแลโดเมนในปี1982หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตอย่างปุบปับ โดเมนโซเฮลไม่ได้ยื่นขอใบรับรองออร์แกนิค ทั้งๆที่เขาไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ไม่ใช้สารกำจัดวัชพืชยกเว้นบริเวณที่ม้าเข้าไม่ถึง
ประวัติแอร์มิตาจ
ชื่อแอร์มิตาจเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดจากบาทหลวงผู้อยู่อย่างสันโดษ(hermit)บนเนินเขาและปลูกไวน์บริเวณนั้นในยุคกลาง หนังสือบางเล่มบอกไม่ใช่บาทหลวงแต่เป็นอัศวินที่อยู่อย่างสันโดษชื่ออองรี กาซปาด์ เดอ สเตฮามแบร์กที่เป็นคนปลูกไวน์ อย่างไรก็ตามทุกแหล่งข้อมูลยืนยันตรงกันว่าชื่อไวน์แอร์มิตาจมาจากคำว่าผู้สันโดษ(hermit)ที่ใช้ชีวิตและปลูกไวน์บนเนินเขาบริเวณนั้น
ชื่อเสียงของแอร์มิตาจเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคือพระเจ้าหลุยส์ที่13เลือกให้เป็นไวน์ประจำพระองค์ และภายในศตวรรษที่ 17แอร์มิตาจก็เป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางและชนชั้นสูงทั่วทั้งยุโรป รวมถึงส่งออกไปอังกฤษด้วย บันทึกรายการซื้อขายในช่วงนั้นพบว่าแอร์มิตาจบางตัวซื้อขายกันในราคาที่สูงกว่าบอร์กโดซ์เฟิร์สโกรทเสียอีก
ในช่วงศตวรรษที่18มีการใช้แอร์มิตาจผสมลงในไวน์บอร์กโดซ์เพื่อช่วยเพิ่มความเข้มและช่วยให้ไวน์เก็บได้นานขึ้น ก็ยิ่งทำให้แอร์มิตาจดังขึ้นไปอีก
แต่มีขึ้นก็ต้องมีลง แอร์มิตาจถึงช่วงขาลงในช่วงต้นศตวรรษที่20 แต่อาศัยการผลักดันของกลุ่มโปรดิวเซอร์หัวแถว แอร์มิตาจใช้เวลาไม่นานก็กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ปัจจุบันแอร์มิตาจเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโรนและฝรั่งเศสครับ
พันธุ์องุ่นและแตร์ฮัวร์
แม้กฎหมายจะอนุญาตให้ผสมองุ่นขาว(มักซานน์และฮูสซานน์)ในแอร์มิตาจแดงได้ ในทางปฏิบัติแทบไม่มีใครใช้องุ่นขาวเลย ชีฮาห์คือพันธุ์องุ่นชนิดเดียวที่ใช้ในแอร์มิตาจแดง อ้อที่โก๊ต-โฮตีกฎหมายก็อนุญาตให้ใช้องุ่นขาวได้เช่นกัน แต่ของเขาเป็นวีเยอนิเยร์ครับ
ผืนดินที่ดีที่สุดของแอร์มิตาจอยู่บนเนิน แปลงสำคัญที่เราควรรู้จักได้แก่ แลร์มิต,ลา ชาเปล(ของจาบูเลท์),เลส์ เบสซาร์,เลอ เมอัลและเลย์ เกรฟิเออซ์ ส่วนที่ไม่อยู่บนเนินถือว่าที่ตั้งและคุณภาพแตร์ฮัวร์อยู่ในขั้นรองลงมา ลมเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกลมนี้ว่าลา บิส(ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับคำว่า บิส ที่แปลว่าจูบหรือเปล่า บิสเป็นการจูบแสดงความเป็นมิตรที่แก้มในตอนเจอกันหรือล่ำลา ใช้กับเพื่อนหรือญาติก็ได้) แอร์มิตาจรับลมจากทางเหนือ ต้นไวน์ที่อยู่บนเนินรับลมมากกว่าจึงแห้งและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องความชื้น ถ้าความชื้นสูงไปอาจจะมีปัญหาเชื้อราตามมาครับ
ขยายยาก
ผมเขียนเรื่องการขยายขอบเขตพื้นที่เพาะปลูกของซาง-โจเชพซึ่งทำให้มีปัญหาเรื่องคุณภาพของพื้นที่ใหม่ไม่สูงเหมือนของเดิม ถ้าสนใจรายละเอียดลองดูบทความของโดเมนกริปปา กลับกันแอร์มิตาจแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเนื่องด้วยเหตุผลหลักคือ แอร์มิตาจอยู่ภายใต้กฎหมายระดับประเทศ การเปลี่ยนแปลงใดๆต้องผ่านการอนุมัติจากส่วนกลาง ซึ่งทำให้การขยายขอบเขตเป็นไปได้ยาก(เขตกอร์กนาส์ก็เช่นกัน) ส่วนซาง-โจเชพและโก๊ต-โฮตีอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่องค์กรท้องถิ่น เราถึงได้เห็นการขยายพื้นที่เพาะปลูกอย่างมโหฬาร ซึ่งมีบริเวณที่คุณภาพรองลงมาเช่นพื้นที่ริมแม่น้ำและที่ราบเข้าไปด้วย
รสชาติและพัฒนาการในขวด
ไร่ไวน์ของโดเมนมาร์ค โซเฮลอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดที่หนึ่งของเนินแอร์มิตาจ เกือบครึ่งนึงอยู่ในเลอ เมอัล ที่เหลือกระจายอยู่ในเลส์ เบสซาร์,เลย์ เกรฟิเออซ์และเลย์ พลองทิเยส์ ที่นี่ดูแลไร่ไวน์ตามหลักการlutte raisonnée ซึ่งอยู่ตรงการระหว่างไร่ไวน์ปกติกับไร่ออร์แกนิค เขาไม่ใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ไม่ใช้สารกำจัดวัชพืชยกเว้นบริเวณที่ม้าเข้าไม่ถึง
ถ้าจะให้นิยามโปรดิวเซอร์รายนี้สั้นๆคือเค้าจิ๋วแต่แจ๋ว ถึงแม้จะมีไร่ไวน์เพียงแค่ 2.6เฮกตาร์ แต่คุณภาพไม่เป็นรองใคร
นิตยสารลา เฮอวู เดอ วาน์ เดอ ฟรองซ์ซึ่งเป็นนิตยสารไวน์เบอร์หนึ่งของฝรั่งเศสให้คะแนนโปรดิวเซอร์ดังๆของแอร์มิตาจ ผมยกเอาคะแนนสรุปมาให้ดูด้านล่างครับ
Chapoutier Ermitage Le Meal 17
Domaine Jean-Louis Chave 17.5
Domaine Marc Sorrel normal cuvee 16
Domaine Marc Sorrel Le Greal 17.5
Maison Delas Les Bessards 16.5
Maison Paul Jaboulet Aîné La Petite Chapelle 15.5
จะเห็นได้ว่าโดเมนโซเฮลแอร์มิตาจเกาะกลุ่มแถวหน้าได้สบายๆ คะแนนดังกล่าวมาจากหนังสือปี2016 ซึ่งไม่มีข้อมูลจาบูเลท์ตัวสูงสุดลา ชาเปลครับ ส่วนตัวเฉยๆกับจาบูเลท์แอร์มิตาจแดง แต่แอร์มิตาจขาวของเค้าดีครับ
แอร์มิตาจของโดเมนมาร์ค โซเฮลสามารถเก็บได้และมีพัฒนาการในขวดที่ยาวนาน เมื่อไวน์มีอายุมากขึ้นกลิ่นและรสจะเปลี่ยนไป จากกลิ่นแบร์รี่ดำก็เป็นกลิ่นแบร์รี่แดง ตามด้วยกลิ่นดิน,ใบยาสูบ,มะกอกและเครื่องเทศ ในปากนุ่มหวาน ทิ้งตอนจบได้ยาวนาน สามารถเก็บได้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีเป็นอย่างน้อย
แอร์มิตาจ เลอ เกรอัลเป็นไวน์แดงเรือธงของโดเมนมาร์ค โซเฮล โดยใช้องุ่นจากสองแปลงดังเลย์ เกรฟิเออซ์และเลอ เมอัลมาผสมกัน ชื่อไวน์เลอ เกรอัลก็มาจากชื่อไร่องุ่นทั้งสองแปลงมารวมกันนั่นเอง ที่น่าสนใจคือเลอ เกรอัลใช้องุ่นมาร์กซานน์ซึ่งปกติใช้ทำไวน์ขาวผสมอยู่ด้วย ใช้ไม่เยอะครับราวๆ5%-8%แล้วแต่วินเทจ ที่นี่ตัดก้านองุ่นออกจากพวงก่อนการหมัก ยกเว้นบางปีที่ก้านสุกไม่เขียวถึงจะไม่ตัดก้านออก แล้วหมักในถังโอ๊กเก่านานสองปีก่อนการบรรจุขวดโดยไม่มีการกรองหรือทำให้ใส ที่นี่ทำไวน์แบบมินิเมาลิสต์และเขาเชื่อในหลักการทำน้อยได้มาก ผลที่ได้คือไวน์เลอ เกรอัลจะได้รสผลไม้สุกเต็มที่ เข้มข้น,ทรงพลังและมีพัฒนาการในขวดได้สวยงาม
ผมมีความสุขที่ได้เจอไวน์ที่สะท้อนแหล่งที่มาอย่างชัดเจน ไวน์เขามีพลัง,น่าตื่นเต้นและมีบุคลิกโดดเด่น
ผมเป็นแฟนตัวยงของเขาครับ-ไวน์ แอดโวเคท